การเลี้ยงหมูจะประสบความสำเร็จถ้าเอาใจใส่เรื่องการเลี้ยงและการดูแลหมูอย่างถูกต้อง แม้ผู้เลี้ยงจะมีหมูพันธุ์ดีก็ตามแต่ถ้าละเลยในสิ่งเหล่านี้แล้วปัญหาต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นได้ เช่น พ่อหมูผสมไม่เก่งผสมติดน้อย แม่หมูคลอดลูกยากลูกหมูป่วยเป็นโรคท้องเสียและมีอัตราการตายสูง เป็นต้น
หมูตัวผู้ที่จะนำมาใช้ผสมพันธุ์ได้ดีควรมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์มีขนาดและอายุที่พอเหมาะเพื่อให้สามารถผลิตน้ำเชื้อที่มีคุณภาพดีพอเพียง มีผลทำให้การผสมติดสูงและได้จำนวนลูกมากเป็นปกติแม้ว่าหมูตัวผู้สามารถผลิตอสุจิได้บ้างแล้วเมื่อมีอายุย่างเข้า ๔ เดือนก็ตามแต่จำนวนน้ำเชื้อและอสุจิที่ผลิตได้จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อหมูมีอายุมากขึ้น ดังนั้นหมูตัวผู้ที่จะนำมาใช้ผสมพันธุ์ควรมีขนาดใหญ่พอเหมาะที่จะผสมกับแม่หมูที่มีขนาดปกติได้ โดยปกติมักใช้ผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุราว ๘ เดือนและมีน้ำหนักประมาณ ๘๐-๙๐ กิโลกรัม สำหรับหมูพ่อพันธุ์ต่างประเทศควรมีน้ำหนักราว ๑๑๕ กิโลกรัม
การเลี้ยงหมูพ่อพันธุ์ปกติให้อาหารวันละมื้อ พ่อพันธุ์ที่มีน้ำหนักมากเกินไปหรืออ้วนควรให้ออกกำลังบ้างหรือลดอาหารและให้อาหารหยาบมากขึ้น หมูพ่อพันธุ์ถ้าได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากผู้เลี้ยงจะสามารถใช้งานได้หลายปีโดยไม่มีข้อบกพร่องแม้จะใช้ผสมพันธุ์วันละสองครั้งก็ตาม แต่ก็ไม่ควรใช้งานมากเกินไปเพราะการผสมบ่อย ๆ หรือติด ๆ กันจะทำให้จำนวนอสุจิลดน้อยลงและอาจมีอสุจิตัวอ่อนที่ไม่มีคุณภาพเพียงพอ ดังนั้นหลังจากฤดูผสมพันธุ์ควรจะให้ตัวผู้ได้พักผ่อนและออกกำลังกายโดยปล่อยในทุ่งหญ้า
หมูสาวเจริญเติบโตในลักษณะเช่นเดียวกันกับหมูหนุ่ม เมื่อมีอายุมากขึ้นปริมาณของไข่ที่ตกจากรังไข่จะเพิ่มขึ้นทำให้ปริมาณลูกที่คลอดมีจำนวนมากจนกระทั่งแม่หมูมีอายุประมาณ ๑๕ เดือน ปริมาณไข่ที่ตกก็จะคงที่ โดยปกติจะผสมพันธุ์หมูสาวเมื่อมีอายุได้ราว ๗-๘ เดือนหรือน้ำหนักราว ๑๑๐-๑๑๕ กิโลกรัม (สำหรับหมูพันธุ์พื้นเมืองประมาณ ๘๐-๙๐ กิโลกรัม ขึ้นอยู่กับชนิดของหมูพันธุ์พื้นเมืองด้วย) การผสมพันธุ์แม่หมูที่มีขนาดเล็กหรือมีอายุน้อยอยู่จะทำให้อายุการใช้งานของแม่หมูตัวนั้นสั้นลงและจำนวนลูกที่ได้ก็น้อยด้วยทั้งนี้เนื่องจากการตกไข่จากรังไข่มีน้อย
การผสมพันธุ์แม่หมูควรกะเวลาให้พอดีกับระยะการตกไข่เพราะจะทำให้ได้ผลดีกว่าการผสมในเวลาอื่น แม่หมูส่วนใหญ่จะกลับเป็นสัดอีกภายใน ๓-๗ วัน หลังการหย่านมแม่หมูแสดงการเป็นสัดนานประมาณ ๔๘-๗๒ ชั่วโมง (หมูสาวนานประมาณ ๓๖-๖๐ ชั่วโมง) การตกไข่เกิดขึ้นประมาณช่วงกลาง ๆ ของการเป็นสัดแต่ไข่จะไม่ตกพร้อมกันทีเดียวทั้งหมด การผสมหมูสาวหรือแม่หมูควรผสมซ้ำหรือผสมครั้งที่สองโดยทิ้งระยะให้ห่างจากครั้งที่หนึ่งประมาณ ๑๒ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ปกติการผสมพันธุ์หมูมักทำในตอนเช้าและเย็นเพราะอากาศไม่ร้อนไม่ควรผสมพันธุ์หมูขณะที่ป่วยหรือหลังการฉีดวัคซีนใหม่ ๆ วิธีดังกล่าวนี้จะช่วยให้การผสมพันธุ์ได้ผลดีขึ้นและเพิ่มลูกต่อครอกให้มากขึ้น
ข้อแนะนำระหว่างการผสมพันธุ์หมู คือ ควรให้อาหารแม่หมูและหมูสาวให้มากขึ้นเนื่องด้วยเหตุผลสองประการ คือ
ประการแรก
เนื่องจากแม่หมูผสมพันธุ์ครั้งใหม่หลังการหย่านมในช่วงเวลาสั้นหมูยังอยู่ในสภาพที่ไม่แข็งแรงเพียงพอ
ประการที่สอง
เนื่องจากระหว่างการให้นมแม่หมูส่วนใหญ่สูญเสียน้ำหนักไปมาก การให้อาหารเพิ่มขึ้นจะช่วยให้แม่หมูอยู่ในสภาพที่เหมาะสำหรับการให้นมครั้งต่อไป
หมูตัวเมียที่ไม่ได้รับการผสมพันธุ์หรือผสมไม่ได้ผลจะกลับเป็นสัดอีกระหว่างทุก ๆ ๑๘-๒๔ วันหรือโดยเฉลี่ยประมาณ ๒๑ วัน แต่ถ้าผสมได้ผลก็จะไม่กลับเป็นสัดอีกเลยตลอดการอุ้มท้อง เมื่อหมูตัวเมียได้รับการผสมแล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้อาหารเพิ่มมากขึ้นอีก การเลี้ยงดูในช่วงนี้ควรปฏิบัติ ดังนี้
๑. การจัดคอกสำหรับแม่หมู
ระยะที่แม่หมูอุ้มท้องควรแยกมาเลี้ยงในคอกขังเดี่ยวเพราะนอกจากจะควบคุมการให้อาหารได้แล้วยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาทกับหมูตัวอื่นซึ่งอาจทำให้แม่หมูแท้งลูกได้
๒. การให้อาหาร
๒.๑ ช่วงอุ้มท้องระยะต้น ตั้งแต่เริ่มผสมพันธุ์จนถึงอุ้มท้องได้ ๘๔ วัน ในช่วงนี้ไม่จำเป็นต้องให้อาหารมากนักเพราะลูกในท้องเติบโตช้ามากควรให้กินประมาณตัวละ ๑.๕-๑.๘ กิโลกรัมต่อวันก็พอเพียงแล้ว สำหรับหมูพันธุ์พื้นเมืองก็ต้องลดลงตามส่วน
๒.๒ ช่วงอุ้มท้องระยะหลัง (อุ้มท้อง ๘๔-๑๐๔ วัน) ในช่วงนี้ลูกหมูในท้องมีอัตราการเจริญเติบโตสูงมากต้องการอาหารมากจำเป็นต้องเพิ่มอาหารให้แก่แม่หมูเป็นวันละ ๒.๕-๓ กิโลกรัมต่อวัน (ประมาณร้อยละ ๒.๕ ของ น้ำหนักตัว)
๓. ตรวจการตั้งท้อง
หลังจากวันผสมพันธุ์ประมาณ ๒๑ วันและ ๔๒ วัน ควรตรวจดูการเป็นสัดของหมูตัวเมีย หากหมูไม่แสดงอาการเป็นสัดก็อาจกล่าวได้ว่าหมูผสมติดและตั้งท้องแต่ถ้าหมูแสดงอาการเป็นสัดอีกก็ให้ผสมพันธุ์หมูตัวนั้นใหม่ หมูตัวใดผสมแล้วยังไม่ตั้งท้องติดต่อกัน ๓ ครั้ง ให้คัดหมูตัวนั้นออกจากฝูงเพื่อจำหน่ายต่อไป
๔. อุณหภูมิ
ภายในโรงเรือนควรรักษาอุณหภูมิให้ต่ำมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากประเทศเราเป็นประเทศเมืองร้อนและจากผลการวิจัยปรากฏว่าหากให้หมูอยู่ในที่ร้อนอบอ้าวติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้หมูให้ลูกน้อยตัว นอกจากนี้ความต้องการผสมพันธุ์และจำนวนเชื้ออสุจิของพ่อหมูก็ลดลงไปด้วย อุณหภูมิที่เหมาะสำหรับหมูในช่วงนี้ คือ ระหว่าง ๑๖-๑๙ องศาเซลเซียส
ช่วงระยะก่อนคลอด ระหว่างคลอดและระยะ ๒-๓ วัน ของการให้นมเป็นช่วงที่มีความสำคัญมากช่วงหนึ่งของการเลี้ยงดูหมู ถ้าการเลี้ยงดูในระหว่างช่วงนี้ไม่ดีพอก็จะสูญเสียลูกหมูไปโดยไม่จำเป็น
ควรปฏิบัติ ดังนี้
๑. การทำความสะอาดคอกคลอด ควรทำความสะอาดไว้ล่วงหน้าให้เรียบร้อยก่อนที่จะนำแม่หมูเข้าคอกคลอดประมาณหนึ่งสัปดาห์หรือนานกว่านี้ก็ได้ เพื่อลดโอกาสที่โรคและพยาธิจะเกิดขึ้นให้มีได้น้อยที่สุดซึ่งโรคและพยาธินี้จะติดต่อถึงลูกได้มากเนื่องจากลูกหมูพยายามหาทางไปกินนมจากแม่ภายหลังที่คลอดได้ไม่กี่นาทีลูกหมูจึงอาจติดโรคและพยาธิเหล่านี้ได้จากคอกที่สกปรกการทำความสะอาดคอกคลอดจะใช้ผงซักฟอกหรือโซดาไฟล้างก็ได้แล้วใช้น้ำสะอาดล้างให้ทั่วอีกครั้ง เมื่อคอกแห้งแล้วจึงใช้ยาฆ่าเชื้อโรคชนิดใดชนิดหนึ่งผสมน้ำเจือจางตามคำแนะนำแล้วพ่นให้ทั่วบริเวณคอก
๒. การถ่ายพยาธิแม่หมูก่อนถึงกำหนดคลอด ๗-๑๔ วัน ควรถ่ายพยาธิแม่หมูโดยเฉพาะหมูที่เลี้ยงแบบปล่อยลงแปลงหรือเลี้ยงในคอกที่มีพื้นเป็นดิน วิธีการใช้ยาถ่ายพยาธิให้ดูจากฉลากที่ติดมากับยาชนิดนั้น ๆ
๓. การทำความสะอาดแม่หมู ปกติทั้งแม่หมูและหมูสาวจะอุ้มท้องนานประมาณ ๑๑๔ วัน เมื่ออุ้มท้องได้ ๑๐๙ วัน ควรย้ายหมูเหล่านั้นไปยังคอกคลอดอาบน้ำด้วยสบู่ใช้แปรงที่มีขนแข็งถูให้ทั่วบริเวณร่างกาย โดยเฉพาะตามพื้นท้อง ลำตัว และบริเวณเต้านม วิธีนี้จะกำจัดไข่พยาธิและสิ่งสกปรกที่ติดมากับตัวหมูออกไป
๔. การให้อาหารและน้ำแม่หมู อาหารที่ให้แม่หมูในช่วงก่อนคลอดนี้ควรจะเป็นอาหารช่วยระบายอย่างอ่อน ๆ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดอาการท้องผูกของแม่หมู ช่วงนี้ผู้เลี้ยงอาจเพิ่มอาหารที่มีเยื่อใยสูงลงในอาหารแม่หมูได้ รำข้าวหรือจะให้หญ้าสด เช่น หญ้าขนก็ได้
ควรปฏิบัติดังนี้
๑. การจัดเตรียมวัดสุรองพื้นสำหรับลูกหมู ควรจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า ก่อนแม่หมูจะคลอดหนึ่งวัน หรือสองวัน วัดสุที่รองพื้นที่ควรจัดเตรียมไว้ ได้แก่ ฟางข้าว หญ้าแห้ง หรือกระสอบที่สะอาดและแห้ง วัสดุรองพื้นช่วยป้องกันขาและเต้านมของลูกหมู ที่เพิ่งคลอด ไม่ให้ได้รับอันตรายจากพื้นคอกที่หยาบ แข็ง และยังช่วยให้ความอบอุ่นแก่ลูกหมูอีกด้วย
๒. การจัดเตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ในการปฐมพยาบาลลูกหมูที่คลอดออกมา เครื่องมือเครื่องใช้ที่ต้องเตรียมไว้ระหว่างหมูกำลังคลอด มีดังนี้
๒.๑ ผ้าแห้งที่สะอาด ๒-๓ ผืน สำหรับเช็ดตัวลูกหมูที่คลอดออกมาใหม่ ๆ
๒.๒ คีม สำหรับตัดเขี้ยวและหางลูกหมู
๒.๓ ด้ายผูกสายสะดือ
๓. การให้อาหารแม่หมู ถ้าเป็นไปได้ช่วงก่อนคลอด ๑๒ ชั่วโมง และหลังคลอดอีก ๑๒ ชั่วโมง ไม่ต้องให้อาหารเลยนอกจากน้ำสะอาดอย่างเดียว
๔. การช่วยเหลือลูกหมูเมื่อคลอดลูกหมูเมื่อคลอดออกมาใหม่ ๆ ควรจะช่วยทำความสะอาดเช็ดร่างกายลูกหมูให้แห้งด้วยผ้าแห้งที่สะอาดเอาเยื่อบาง ๆ ที่ห่อหุ้มตัวลูกหมูออก โดยเฉพาะเยื่อที่หุ้มส่วนจมูกและปากควรเช็ดและล้วงเสมหะออกจากปากเสียก่อนโดยเร็ว หลังคลอดไม่ควรขังลูกหมูไว้ควรปล่อยให้กินนมได้เลยน้ำนมแม่เมื่อแรกคลอด (colostrum) นี้มีประโยชน์ต่อลูกหมูมากและจะมีอยู่เพียง ๒-๓ วันหลังคลอดเท่านั้น
ควร ปฏิบัติดังนี้
๑. ควรให้อาหารเดิมแก่แม่หมู (อาหารที่ให้แม่หมูตอนใกล้คลอด) ภายหลังคลอดต่อไปอีก ประมาณ ๓ - ๕ วัน จึงค่อยเปลี่ยนเป็นอาหารสูตรใหม่
๒. อาหารสูตรใหม่ที่ให้แก่แม่หมูระหว่างการให้น้ำนมควรมีโปรตีนและพลังงานไม่น้อยกว่าในอาหารสำหรับแม่หมูระหว่างการอุ้มท้องทั้งนี้เพื่อช่วยในการผลิตน้ำนม
๓. การให้อาหารควรเริ่มให้แต่น้อย วันถัดไปค่อยเพิ่มจำนวนอาหารที่ให้กินมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เท่าที่แม่หมูจะสามารถกินได้ เช่น แม่หมูมีลูก ๑๐ ตัว อาหารที่ให้แม่หมูกินเต็มที่ประมาณ ๕ กิโลกรัม
๔. การเพิ่มอาหารให้แม่หมูกินเร็วเกินไปอาจทำให้ลูกหมูเกิดขี้ขาวได้ถ้าเกิดกรณีเช่นนี้ผู้เลี้ยงควรลดจำนวนอาหารที่ให้หมูลง
การเลี้ยงและการดูแลลูกหมูตั้งแต่หลังคลอดไปจนถึงหย่านมนับได้ว่าเป็นช่วงที่มีความยุ่งยากมากกว่าช่วงอื่น ๆ เป็นช่วงที่มีการสูญเสียลูกหมูมากที่สุด โดยเฉลี่ยประมาณ ๒ ตัวต่อครอกซึ่งอาจเกิดเนื่องจากถูกแม่ทับตาย ท้องร่วงอย่างแรง อดอาหาร โลหิตจาง และเสียเลือดมากทางสายสะดือเมื่อคลอด อย่างไรก็ตามการสูญเสียลูกหมูในช่วงนี้ส่วนใหญ่เนื่องมาจากการดูแลไม่ดีมากกว่าสาเหตุอื่น ๆ ดังนั้นเพื่อลดการสูญเสียลูกหมูในช่วงนี้ผู้เลี้ยงควรเตรียมการดูแลลูกหมู ดังนี้
๑. การให้ความอบอุ่น
หมูที่มีอายุต่ำกว่า ๓ วัน กลไกที่ควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกายยังไม่ทำงานจึงไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความผันแปรของอุณหภูมิภายนอกได้ ลูกหมูแรกเกิดที่ถูกความหนาวเย็นมาก ๆ หรือเป็นเวลานาน ๆ อุณหภูมิของร่างกายจะลดลงจะเป็นผลให้ลูกหมูตัวนั้นตายได้
๒. การป้องกันลมโกรก
ไม่ควรปล่อยให้ลูกหมูถูกลมโกรก เช่น ให้ลูกหมูอยู่ในคอกที่โปร่งมากหรือมีพื้นเป็นไม้ระแนงเพราะจะทำให้ลูกหมูเจ็บป่วยได้ง่าย บริเวณสำหรับลูกหมูแรกคลอดหลับนอนควรมีที่กำบังลมไว้ประมาณ ๓-๔ วัน จะช่วยให้ลูกหมูไม่ถูกลมโกรกมากนัก อย่างไรก็ตามคอกลูกหมูก็ไม่ควรปิดทึบเพราะจะทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวกเวลาคอกเปียกชื้นจะแห้งยากทำให้เกิดเชื้อโรคลูกหมูจะเจ็บป่วยได้ง่ายเช่นกัน
๓. การรักษาความสะอาดคอก
คอกที่ใช้เลี้ยงลูกหมูควรทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ พื้นคอกตลอดจนบริเวณที่ลูกหมูนอนควรจะแห้งและสะอาดอยู่เสมอถ้าจำเป็นที่จะต้องล้างทำความสะอาดเนื่องจากคอกสกปรกควรขังลูกหมูเอาไว้ก่อนอย่าปล่อยออกมาให้ตัวเปียกน้ำลูกหมูอาจจะหนาวสั่นและเจ็บป่วยได้ เมื่อเห็นว่าคอกแห้งพอสมควรดีแล้วจึงปล่อยลูกหมูตามเดิม
๔. การตัดสายสะดือ
ก่อนอื่นควรมัดสายสะดือเพื่อป้องกันเลือดออกหลังตัด ควรตัดให้เหลือสายสะดือยาวประมาณ ๓-๔ เซนติเมตร เมื่อลูกหมูยืนขึ้นสายสะดือจะได้ไม่ติดพื้นคอกจากนั้นเช็ดแผลที่ตัดแล้วด้วยทิงเจอร์ไอโอดีน สายสะดือเป็นส่วนสำคัญที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ตัวลูกหมูได้ การเจ็บป่วย เช่น ลูกหมูขาเจ็บหรือตายอาจจะมาจากการละเลยการปฏิบัติดังกล่าว
๕. การตัดฟันและการตัดหาง
ควรตัดภายหลังที่ลูกหมูคลอดได้ไม่เกิน ๒๔ ชั่วโมง การตัดฟันและหางนี้ควรทำพร้อมกันทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการจับต้องลูกหมูหลาย ๆ ครั้ง
๖. การป้องกันโรคโลหิตจาง
โรคโลหิตจางในลูกหมูมักเกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ทั้งนี้เพราะลูกหมูมีความต้องการธาตุเหล็กมากเกินกว่าที่ได้รับจากน้ำนมแม่เนื่องจากลูกหมูมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วและธาตุเหล็กที่เก็บสำรองในตัวลูกหมูที่เกิดใหม่มีอยู่จำนวนน้อยเพื่อป้องกันโรคนี้ผู้เลี้ยงควรฉีดธาตุเหล็กให้ลูกหมูประมาณ ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อลูกหมูอายุได้ ๓ วัน ครั้งถัดไปเมื่อลูกหมูมีอายุได้ ๒-๓ สัปดาห์
๗. การตอนลูกหมูตัวผู้
ลูกหมูตัวผู้ที่ไม่เก็บไว้ทำพันธุ์จะตอนเมื่ออายุเท่าใดก็ได้แต่ที่เหมาะ คือ เมื่ออายุได้ ๒ หรือ ๓ สัปดาห์ ในช่วงนี้อันตรายจากการตอนมีน้อยกว่าช่วงที่ลูกหมูโตแล้วเพราะจับลูกหมูได้ง่ายกว่าและแผลก็จะหายเร็วกว่าด้วย
๘. การหัดให้กินอาหารแห้ง
ก่อนลูกหมูหย่านมอย่างสมบูรณ์เมื่อลูกหมูมีอายุได้ ๑ หรือ ๒ สัปดาห์ ควรหัดให้กินอาหารบ้างลูกหมูที่เคยหัดให้กินอาหารตั้งแต่เล็ก โดยทั่วไปเมื่อหย่านมจะเรียนรู้การกินอาหารได้เร็วกว่าพวกที่ไม่เคยหัดเลย
การหย่านมลูกหมูจะเร็วหรือช้านั้นนอกจากจะขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของลูกหมูแล้วยังขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้เลี้ยงและคุณภาพของอาหารที่ใช้เลี้ยงลูกหมูด้วย ผู้เลี้ยงหมูในบ้านเรานิยมหย่านมลูกหมูที่มีอายุระหว่าง ๓-๖ สัปดาห์ ลูกหมูที่หย่านมเมื่ออายุยังน้อยหรือน้ำหนักตัวน้อยมักจะอ่อนแอและถ้าการเลี้ยงดูไม่ดีพออาจทำให้ลูกหมูแคระแกร็นหรืออาจถึงตายได้ การเลี้ยงดูลูกหมูในระยะนี้จึงควรปฏิบัติดังนี้
๑. การหย่านมลูกหมู
ให้ถือน้ำหนักเป็นเกณฑ์ ลูกหมูควรมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า ๕ กิโลกรัมเมื่อหย่านมและไม่ควรขังลูกหมูที่มีขนาดและน้ำหนักไล่เลี่ยกันเกินกว่า ๒๐ ตัวไว้ในคอกเดียวกัน (ขึ้นอยู่กับขนาดของคอกด้วย) เนื่องจากคอกจะสกปรกมากและบางตัวก็กินอาหารไม่ทันตัวอื่น ๆ
๒. การรักษาความสะอาด
เนื่องจากลูกหมูในช่วงนี้เป็นโรคได้ง่ายความสะอาดจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรระวังให้มาก รางอาหาร รางน้ำ ตลอดจนคอกหมูต้องสะอาดอยู่เสมอ พื้นคอกไม่ควรปล่อยให้เปียกแฉะ ดังนั้นคอกต้องมีการถ่ายเทอากาศได้ดีแต่ต้องไม่โกรกตัวลูกหมูมากนัก
๓. การให้อาหารและน้ำ
ควรให้อาหารลูกหมูบ่อย ๆ ครั้งละน้อย ๆ จะช่วยให้ลูกหมูกินอาหารได้มากขึ้น อาหารที่เปียกเหม็นอับควรทิ้งไป น้ำสะอาดต้องมีให้ลูกหมูได้กินตลอดเวลา การขาดน้ำจะทำให้ลูกหมูกินอาหารน้อยลงหรือไม่กินอาหารเลย
๔. การถ่ายพยาธิ
หลังจากลูกหมูหย่านมได้ราว ๒-๓ สัปดาห์ ควรให้ลูกหมูกินยาถ่ายพยาธิ ลูกหมูที่พบว่ามีพยาธิควรถ่ายซ้ำอีกครั้ง
๕. การฉีดวัคซีน
หลังจากที่ลูกหมูหย่านมแล้ว ราว ๓-๔ สัปดาห์ขึ้นไป ผู้เลี้ยงสามารถฉีดวัคซีนให้กับลูกหมูได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของลูกหมูและควรฉีดวัคซีนกับลูกหมูที่สมบูรณ์เท่านั้นลูกหมูหลังฉีดวัคซีนแล้วอาจมีอาการไข้ได้จึงไม่ควรเอาน้ำรดตัวลูกหมู การตอนไม่ควรทำในช่วงเดียวกับการฉีดวัคซีนควรตอนก่อนการฉีดวัคซีนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๑๐ วัน หรือหลังการฉีดวัคซีนประมาณสัก ๑ เดือน
การเลี้ยงดูหมูระยะนี้มีความยุ่งยากน้อยกว่าการเลี้ยงดูหมูระยะที่ยังไม่หย่านมหลังจากหย่านมใหม่ ๆ หมูในช่วงนี้จะเจริญเติบโตดีทั้งหมูที่เลี้ยงอยู่ในทุ่งและบนคอกคอนกรีตที่มีการสุขาภิบาล การควบคุมโรคและพยาธิตลอดจนการให้อาหารที่ถูกต้อง การเลี้ยงและการจัดการดูแลหมูระยะนี้ควรปฏิบัติ ดังนี้
๑. การจัดคอกเลี้ยง
๑.๑ การจัดคอกสำหรับหมูขุนขาย ควรจัดเอาหมูที่มีขนาดและเพศเดียวกันขังเลี้ยงไว้ในคอกเดียวกันเพื่อช่วยให้หมูเติบโตมีขนาดไล่เลี่ยกันและไม่เกิดปัญหาแย่งอาการกันกินขึ้นในภายหลัง เนื่องจากการเจริญเติบโตไม่เท่ากันของหมูเพศผู้และเพศเมีย หมูเพศผู้ที่ตอนมักเจริญเติบโตเร็วกว่าหมูเพศเมียแต่หมูเพศเมียมีแนวโน้มการใช้อาหารที่มีโปรตีนสูงได้ดีกว่าและยังให้เนื้อแดงและมีลำตัวยาวกว่าหมูเพศผู้ที่ตอนด้วย
๑.๒ การจัดคอกสำหรับหมูพันธุ์ หมูที่จะเลี้ยงไว้เป็นพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ในช่วงแรกไม่ควรเลี้ยงแยกเพศกันอย่างเด็ดขาด กล่าวกันว่าการเป็นหนุ่มเป็นสาวช้าการไม่แสดงการเป็นสัดของหมูตัวเมียและการไม่ยอมผสมพันธุ์ของหมูตัวผู้นั้นเป็นผลจากการมีประสบการณ์ก่อนเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่เพียงพอ พ่อหมูสามารถเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้ได้ดีที่สุดในช่วงอายุระหว่าง ๔-๘ เดือน เมื่อหมูเริ่มผสมพันธุ์ได้ควรแยกออกมาเลี้ยงขังเดี่ยวและจำกัดอาหารไปจนกระทั่งหมูมีน้ำหนัก ๑๑๕ กิโลกรัม ทั้งตัวผู้และตัวเมีย
๒. การจัดเตรียมรางอาหาร
ควรจัดให้มีเพียงพอกับจำนวนหมู รางอาหารชนิดอัตโนมัติ ช่องอาหารช่องหนึ่ง ๆ ควรจัดไว้สำหรับหมูไม่เกิน ๓-๔ ตัว มิฉะนั้นจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของหมู
๓. การจัดเตรียมน้ำดื่ม
ควรมีน้ำดื่มสะอาดไว้ในที่ที่เหมาะสมไม่ควรจัดไว้ในที่ที่หมูตัวอื่นกีดขวางได้ง่าย ปกติหมูตัวหนึ่งจะกินน้ำประมาณสองเท่าของน้ำหนักของอาหารที่กินเข้าไป
๔. อุณหภูมิ
อุณหภูมิที่เหมาะจะช่วยให้การเจริญเติบโตและประสิทธิภาพการใช้อาหารของหมูดีขึ้น คือ อุณหภูมิประมาณ ๒๑ องศาเซลเซียส หากอากาศร้อนเกินไปหมูจะกินอาหารน้อยลงและเติบโตช้า
๕. การถ่ายเทอากาศ
อากาศภายในคอกควรมีการถ่ายเทหรือระบายได้ดี โรงเรือนที่อับอากาศจะเกิดก๊าซพิษสะสมซึ่งมีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของหมูและก่อให้เกิดสิ่งผิดปกติกับหมูได้ เช่น เกิดมีการกัดหางกันขึ้น เป็นต้น